เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o ธ.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เมื่อวานไปทางนู้น เวลาเขาบอก เห็นไหม คนเรามันต้องมีที่อยู่ มีที่หลักแหล่ง เราคิดถึงใจเลย ถ้าใจของเรามีหลักแหล่ง อย่างเช่นชาวพุทธน่ะ เราก็ลงทะเบียนบ้านว่าถือพุทธศาสนา ลงว่าถือศาสนาอะไรก็ต้องลงทะเบียนว่าถือศาสนานั้น ๆ นี่เหมือนกับทะเบียนเลย เหมือนกับหลักแหล่งของเรา ถ้าเรามีหลักแหล่ง หลักแหล่งของเราเราเป็นชาวพุทธ เราต้องเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ เห็นไหม “คนเราเกิดมาเพราะกรรม” เราทำกรรมดีกรรมชั่วมา กรรมดีก็มี กรรมชั่วก็มี ชีวิตเราถึงต้องลุ่ม ๆ ดอน ๆ ชีวิตนะ เราไม่มีความสุขหรอก แล้วจะถามคนเลยนี่ คนจะมั่งมีศรีสุข คนจะทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ก็จะบอกว่าตัวเองมีความทุกข์ ๆ นั่นน่ะเพราะทุกข์มันเป็นอริยสัจ

แต่ความเป็นจริง ตัวเองน่ะมีความสุข มีอำนาจวาสนา เพราะเราได้เกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม มนุษย์นี่มีกฎหมายคุ้มครอง ดูสัตว์สิ สัตว์มันไม่มีกฎหมายคุ้มครองนะ เวลามันต้องตายนี่ เขาฆ่ามันเป็นอาหารน่ะ นี่ตามโลกว่ามันเกิดมาเพื่อเป็นอาหาร แต่ในหลักของธรรมนะ ไม่มีสัตว์ตัวใดเลยไม่ต้องการความสุข สัตว์ที่มีชีวิตทุกตัวต้องการความสุข ต้องการมีชีวิตยืนยาว ต้องการสิ่งต่าง ๆ ต้องการทั้งนั้นเลย

แต่เราไปคิดกันไง เราไปคิดประสาโลกว่า เขาเกิดมาเป็นอาหาร แล้วถ้าคิดมุมกลับ เห็นไหม เวลาเขาตายไปน่ะ ซากของเขายังเป็นประโยชน์ เป็นอาหารของมนุษย์ได้ แต่มนุษย์เวลาตายขึ้นมาซากนี่ไม่มีใครกินเป็นอาหาร ซากของมนุษย์นี่ไม่มีประโยชน์เลย แต่เราเป็นสังคมมนุษย์ เราต้องทำงานศพของเรา เพราะเราคิดถึง เราเป็นไปของเรา ความผูกพันของเรา แล้วก็มีประเพณีวัฒนธรรม แล้วแต่ประเพณีของศาสนาไหนก็ต้องเก็บต้องจัดการไปตามศาสนานั้น

นั้นน่ะมันเป็นความคิดของมนุษย์ไง มนุษย์นี่มีปัญญาตรงนี้ แต่ปัญญานี่ใช้เป็นปัญญาของโลก ความเป็นอยู่ของโลก เราไม่ได้สามารถใช้ปัญญาที่ว่าเราจะชำระกิเลสได้ ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกปัญญารอบรู้ในกองสังขาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ความคิดของเรานี่เป็นสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง”

สังขารที่ความคิด ความปรุง ความแต่งอันนี้ มันเป็นธรรมชาติของมัน แต่มีปัญญาอีกตัวหนึ่ง ปัญญามันรอบรู้ความคิดของตัวเราเองไง เวลาเราคิด เรามีอารมณ์กระทบต่าง ๆ นี่ เราวิ่งไปตามความคิดของเรา เรายับยั้งไม่ได้ ถ้าเรามีสติมีปัญญา มันยับยั้งความคิดอันนี้ไง

ถ้าเรามีสติปัญญามายับยั้งความคิดอันนี้ นี่เริ่มต้นสงบตัวลง ๆ ปัญญามันจะละเอียดเข้าไปเป็นชั้น ๆ เข้าไปนะ ชั้น ๆ จริง ๆ ถ้าคนไม่เคยเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม จะไม่เข้าใจว่ามันจะละเอียดขนาดไหน ถ้ามันละเอียดน่ะมันลึกซึ้งที่ว่า มันแปลกประหลาดจนทำให้คนติดคนหลงนะ

เวลาจิตสงบขึ้นมานี่ ว่ามีความว่าง มีความสงบมาก ก็เข้าใจว่าอันนี้เป็นธรรม ๆ เพราะมันมีความสุขไง ถ้าเกิดความสงบขึ้นมาเมื่อไร มันจะมีความสุขเจือปนไปกับความสงบนั้นตลอดไป ความสงบของใจนี่มันจะมีความสุขไป ๆ แล้วเราไม่เคยเห็นความสุขอย่างนี้ไง

โลกเรานี่มีความสุขด้วยอามิส ต้องการวัตถุสิ่งใด ต้องการข้าวของเงินทองสิ่งใด ต้องการไปเที่ยวที่ไหน ต้องการไปสัมผัสสิ่งใด ได้สัมผัสแล้วก็ว่าเป็นความสุข เห็นไหม ความสุขอันนั้นเกิดจากสิ่งกระทบ เกิดจากความว่า มันได้รับเสพสัมผัสความพอใจของมันแล้ว มันถึงมีความสุข

แต่ความสุขเกิดจากความสงบนี้ มันเป็นความสุขเกิดขึ้นจากตัวของมันเองที่มันปล่อยละวางสิ่งต่าง ๆ เข้ามา มันเลยมีความสุข พอมีความสุขขึ้นมานี่ เราก็ติดในความสุขของเราไง ปัญญาอันนี้มันถึงเกิดไม่ได้ไง สิ่งนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม ปัจจุบันนี้ก็ยังมีนะ พวกฤๅษีชีไพรนี่ สอนเรื่องทำความสงบ ๆ เราก็ว่าสิ่งนั้นมหัศจรรย์นะ มหัศจรรย์ตรงว่าเขาทำออกมาเป็นการโฆษณากัน เห็นไหม ใช้พลังจิตน่ะ ใช้พลังจิตงอสิ่งต่าง ๆ งอวัตถุได้ พวกเราก็ตื่นเต้นนะสิ่งนั้น

แต่ถ้าเป็นเราชาวพุทธ เป็นครูบาอาจารย์ที่มีปัญญานะ เห็นแล้วมันจะสลดสังเวชไง พลังของจิตน่ะไปงอไปง้างสิ่งต่าง ๆ อันนั้นเป็นการส่งออก เห็นไหม แต่พลังจิตอันนี้ย้อนกลับมาทำลายตัวมันเอง นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ตรงนี้ไง ศาสนาพุทธเราเน้นตรงนี้ เน้นตรงใช้พลังจิตนี่

เวลาจิตมันสงบนี่ใช้พลังจิตเข้ามา พลังจิตตัวนี้มันมีพลังงานของมันมาก ถ้าคนมีอำนาจวาสนา เห็นไหม เวลาออกรู้ต่าง ๆ ได้ ไปนรกไปสวรรค์น่ะ ไปเห็นสิ่งต่าง ๆ มันจะยึดมั่นไงว่าตัวเองนี่ ๑. มหัศจรรย์มาก ๒. คิดว่าสิ่งที่รู้ที่เห็นนั้นมันเป็นมรรคผลหนึ่ง

นี่มันทั้งส่งออก มันทั้งติดยึดมั่น พอติดแล้วยึดมั่นอย่างนั้น พลังงานนี้จะใช้ไป แล้วมันจะเสื่อมไป พอเสื่อมไป พระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติในวงกรรมฐานของเรานี่ สึกไปมากนะ เวลาเห็นนี่ จิตมันมหัศจรรย์ เห็นความเป็นไปของจิตนี่ โอ้โห...ตื่นเต้นมาก แต่สุดท้ายก็เอาตัวไม่รอด เพราะอะไร? เพราะจิตมันเสื่อมไง จิตมันเสื่อมแล้วมันเร่าร้อน มันทำอีกขึ้นมาไม่ได้ สึกไปนี่ สึกหาลาเพศไปจากเรื่องนี้มากเลย

แต่ถ้าครูบาอาจารย์มีหลักมีเกณฑ์นะ จะบอกว่าพยายามน้อมกลับเข้ามา สิ่งต่าง ๆ ที่เราเห็น พลังงานที่เราทำลายวัตถุนี่ มันเกิดจากไหน? เกิดจากพลังจิต จิตอยู่ที่ไหน? จิตก็อยู่ที่ผู้รู้นี่ ย้อนกลับมาตัวที่พลังงานนั้น ความเห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นต่าง ๆ จิตเป็นผู้เห็น ย้อนกลับมาที่พุทโธนั้น ย้อนกลับมาที่ผู้รู้นั้น สิ่งต่าง ๆ นั้นจะอยู่ในตามความจริงของมัน มันมีอยู่โดยดั้งเดิม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “นรกสวรรค์มีอยู่โดยดั้งเดิม” มรรคผลก็มีอยู่ สิ่งต่าง ๆ ก็มีอยู่ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปรู้ไง นี่วัฏฏะมันมีอยู่แล้ว แล้วเราก็ไปรู้สิ่งต่าง ๆ รู้สิ่งที่มันมีอยู่ เพียงแต่มิติมันปิดบังไว้ มิติกาลเวลามันปิดบังแล้วเราเข้าไม่ถึง ถ้ามิตินี้มันเปิดขึ้นมาจากใจนะ ใจเข้าความสงบ นิ่งอยู่นี่ มันพ้นจากมิติ มันเป็นอิสระตัวมันเอง พักหนึ่งชั่วคราวหนึ่ง แล้วเราก็เห็นสภาวะสิ่งนั้น แล้วถ้ามันเสื่อมไปนี่ มันมีความเร่าร้อนมาก

แต่ถ้าเราย้อนกลับสิ่งนี้เข้ามานี่ สิ่งที่มันเป็นมิติ มันตั้งอยู่ที่ไหน? มันตั้งอยู่ในจิตนะ ตั้งอยู่ที่ผู้รู้นั้น ถ้ามันตั้งอยู่ที่ผู้รู้นั้น ผู้รู้ติดในอะไร? ผู้รู้ติดในกายและใจ กายนี่ผู้รู้อยู่ในกายนี้ ถ้ามันติดสิ่งนี้ต้องย้อนกลับมาทำลายตรงนี้ กลับมาทำลายตรงผู้รู้ ตรงฐานความคิดนั้น ถ้าทำลายตรงนี้ นี่ปัญญาของชาวพุทธไง “สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลย ศาสนาไหนไม่มีมรรค...”

มรรคาอันนี้ไง มรรคาคือว่าเครื่องดำเนินของใจไง มรรคา เห็นไหม เราว่าเราชาวพุทธนี่ เราก็มีมรรคอยู่แล้ว สัมมาอาชีวะเราทำความดีความชอบทุกอย่าง ความคิดถูกต้อง ถูกต้องกระแสโลก โลกเป็นไปสภาวะแบบนั้น มันเป็นโลกียะ มันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นศีลธรรมจริยธรรม ศีลธรรมจริยธรรมนี้สอนเราสัตว์โลก สัตว์โลกนะ

แต่นักบวช นักปฏิบัตินี้ มันต้องใช้ ความกินอาหาร เห็นไหม เรากินคำข้าวเป็นอาหาร อาหารนี่เรากินคำข้าวเข้าไป ร่างกายเราอิ่ม กระเพาะเรามีอาหารแล้วเราจะมีความพอใจ เราอิ่มของเรา แต่หัวใจมันเร่าร้อน มันกินอะไรเป็นอาหารล่ะ? สิ่งที่มันเป็นอาหารนี่ กินอารมณ์เป็นอาหาร สิ่งที่เป็นอาหารนี่ ถ้าเรากินอาหารที่ความโกรธ มันก็เป็นความเร่าร้อนของใจ ถ้ามันเป็นความสุข เห็นไหม นี่ปีใหม่ ความรื่นเริงนี่ เราพอใจนี่ มีความสุข สุขอันนั้นก็ชั่วคราว ๆ เท่านั้นเลย

นี่อาหารอันนี้อาหารชั่วคราว พุทโธ ๆ นี่อาหารที่ไม่มีรสชาติ อาหารที่ไม่มีรสเผ็ด รสเปรี้ยว รสเค็ม แต่อาหารนี้มันเป็นอาหารที่บริสุทธิ์ อาหารนี้เป็นอาหารที่มีคุณค่ากับใจนั้น กำหนดพุทโธ ๆ จนมันสงบเข้ามา แล้วยกขึ้นวิปัสสนา นี่อาหาร การกลืนกินอาหารคือว่ามรรคามันเริ่มดำเนิน เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเน้นตรงนี้ไง เน้นตรงการประพฤติปฏิบัติ เน้นตรงการให้หัวใจนี่มีปัญญาเกิดขึ้น

ถ้าปัญญาเกิดขึ้น นี่ย้อนกลับมาทำลายตรงนี้ มันถึงว่าฐานตรงนี้ไง นี่ถึงว่าคนมีหลักมีแหล่ง ถ้าคนมีหลักมีแหล่งมันจะเข้ามา ชาวพุทธเรามีมรรคา เห็นไหม ถ้ามีมรรคาเราย้อนกลับเข้ามาทำลายหลักแหล่งของตัวเอง จากคนที่เลื่อนลอยนะ คนไม่มีหลักไม่มีแหล่ง คนเร่ร่อนไม่มีที่พึ่งเลย เหมือนกับเดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้ จะนับถือศาสนาอะไรศาสนานั้นก็ไม่น่าศรัทธา เลยเป็นคนไม่มีศาสนา เหมือนคนเร่ร่อน

นี่เราเริ่มมีศาสนา เราก็เริ่มไม่เร่ร่อน ใจของเราก็จะมีที่พึ่ง พอมีที่พึ่งเราก็แสวงหา ที่พึ่งคือว่าเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อธรรมก่อน เชื่อธรรมแล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเกิดมรรคาขึ้นมา เห็นไหม ธรรมฝ่ายเหตุ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรคนี่ ธรรมฝ่ายเหตุ เหตุอันนี้เราต้องสร้างขึ้นมา ถ้าเหตุมรรคาสร้างขึ้นมาแล้ว เครื่องทางดำเนินแล้ว มันจะเป็นผลขึ้นมา เห็นไหม โสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล

ถ้ามีมรรคา มีเครื่องดำเนิน มันก็จะมีผลอันนั้น อาหารของใจคือปัญญา คืออันนี้ ไม่ใช่พลังของจิตที่ไปทำลาย ไปงัดง้างสิ่งที่ว่าเป็นวัตถุอันนั้น...มันน่าสมเพชไง มันน่าสมเพชที่ว่าพลังงานนี้หาแทบเป็นแทบตายนะ แต่ก็ส่งออกแล้วก็วนอยู่ในโลกียะเหมือนฤๅษีชีไพร ฤๅษีชีไพรจะเหาะเหินเดินฟ้าขนาดไหนนะ นี่ทำกระแสโลก แล้วก็ต้องตายหมุนไปในวัฏฏะ เวียนไปตามวัฏฏะ โดยที่ว่าเพียงแต่ทำดี เราสร้างบุญกุศล เราเกิดดี เราทำดี เราก็ได้ดีเหมือนกัน นั่นเขาทำดีขนาดนั้น

แต่ในศาสนาเรานี่ถึงจะชำระกิเลสได้ ชำระกิเลสว่าไม่ต้องเกิดอีกเลยนะ ใจดวงนี้อยู่ด้วยความสุขบริสุทธิ์อันนั้น อันปริ่มอันนั้น นี่ทำลายตัวนี้ ทำลายหัวใจ เห็นไหม นี่ฐานที่อยู่ของจิต หาให้เจอ ถ้าเราหาที่ของจิตไม่เจอ เราก็วิปัสสนาไม่ได้ ถ้าเราเจอที่อยู่ของจิตขึ้นมานี่ เราก็ทำลายที่อยู่ของจิตนั้น ทำลายกิเลสนั้นจนสิ้นไป จนถึงกับบริสุทธิ์ของใจ ใจนี้บริสุทธิ์มาก เราถึงเป็นชาวพุทธไง

ในศาสนาพุทธนี่มีตั้งแต่เรื่องทาน ศีล ภาวนา ถ้าใครภาวนาได้ สร้างบุญกุศลของเราได้ อันนี้จะเป็นประโยชน์กับเรามาก ประโยชน์กับจิตของเรานะ สมบัติของโลก แม้แต่พ่อแม่ลูกหลานต่าง ๆ เจ็บไข้ได้ป่วยแทนกันไม่ได้ บุญกุศลเจ็บไข้ได้ป่วยแทนกันไม่ได้ แต่อยู่กับกระแสโลกก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันไป ช่วยเหลือกันนี่พยายามอบรมสั่งสอนกัน สั่งสอนกันเป็นกระแสโลก

แต่ถ้าทำเป็นถึงธรรมแล้วนี่ เป็นธรรมในหัวใจนะ เป็นปัจจุบันธรรมของแต่ละบุคคล แต่ละบุคคลนั้นจะมีธรรมของตัวเอง เป็นสมบัติส่วนตน แล้วอันนี้จะติดใจนี้ไปข้ามภพข้ามชาติ เกิดดีเกิดชั่วตามกระแสนั้น ถึงที่สุดจนไม่เกิดอีกเลย เป็นความสุขอย่างยิ่ง นี่ชาวพุทธเรามีศาสนาแล้ว ต้องให้เป็นประโยชน์กับเราด้วย เอวัง